จริงๆ แล้ว นักออกแบบก็ไม่ได้มีกฏอะไรตายตัวหรอก เพียงแค่ต้องค้นหาแรงบันดาลใจ แล้วก็ตามความคิดสร้างสรรค์ ลองมาดูพื้นฐานความรู้ในการที่จะออกแบบห้องให้ดูดีมากยิ่งขึ้นได้จากทิปสำคัญหล่านี้กันเลย

1. เลือกสีที่จะทาไว้เป็นอันดับสุดท้าย

เจ้าของบ้านส่วนใหญ่มักจะเลือกสีที่จะทาก่อนที่พวกเขาจะย้ายของเข้ามาอยู่แล้ว ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะใครจะไม่อยากเข้าบ้านใหม่พร้อมกับสีสดใหม่

อย่างไรก็ตาม สีมีเป็นพันๆ เฉด มีอีกหลายโทนสี และจำไว้ว่า แต่ละสีดูแตกต่างออกไปในแต่ละบ้าน ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าแหล่งแสงไม่เหมือนกันในแต่ละบ้าน หมายความว่าสีที่ดูดีในบ้านปัจจุบันของคุณ อาจจะดูไม่ดีนักในบ้านใหม่ของคุณ ถ้าคุณอยากได้สีที่เข้ากับ ศิลปะแขวนผนัง ของตกแต่ง พรม หรืออะไรก็ตามในบ้าน คุณสามารถที่จะเลือกทาสีเหมือนวางแผนไว้แล้วว่าอะไรจะอยู่ในบ้านของคุณบ้าง

2. ให้พื้นที่เฟอร์นิเจอร์ได้หายใจบ้าง

อย่าวางเฟอร์นิเจอร์ชิดกันเกินไป พื้นที่ที่สวยน่าอยู่คือ พื้นที่ที่สามารถที่จะเคลื่อนย้ายตัวได้อย่างสะดวก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่งบน้อย เพราะคุณไม่ต้องเติมเต็มพื้นที่ด้วยเฟอร์นิเจอร์มากชิ้น แต่สามารถที่จะใช้งบไปกับสินค้าที่มีคุณภาพไม่กี่ชิ้นแทนได้ ห้องของคุณจะดูดีขึ้น อย่างในรูปตัวอย่างนี้ คุณจะเห็นว่า เก้าอี้พนักสูงนี้โดดเด่นได้เพราะไม่มีอะไรมาแย่งความสนใจเยอะจนเกินไป

3.  วางกรอบรูปภาพให้อยู่ในความสูงที่เหมาะสม  

พิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่ มักจะแขวนรูปภาพศิลปะไว้ในตำแหน่งที่จุดศูนย์กลางของชิ้นศิลปะนั้นสูงจากพื้น  57-60 นิ้ว (ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของตำแหน่งสายตาของคน) และคุณก็ควรทำเหมือนกัน

ในห้องที่คุณต้องการวางภาพศิลปะที่ชื่นชอบเพื่อดึงให้ห้องนั้นมีชีวิตชีวามากขึ้น จากรูปในห้องที่เพดานสูงมากๆ คุณอาจจะคิดว่าน่าจะวางให้ภาพสูงขึ้นตาม แต่จำไว้ว่า ความสูงของภาพ ก็ต้องเชื่อมโยงกับระดับสายตาของคน ไม่ใช่ระดับของโครงสร้าง (อ่านเพิ่มเติมเรื่องจากตำแหน่งของรูปภาพแขวนผนัง: แขวน กรอบรูป บนผนังอย่างมืออาชีพ คุณเองก็ทำได้)

ถ้าคุณอาจไม่แน่ใจคุณสามารถที่จะถ่ายภาพห้องของคุณ แล้วใช้โปรแกรมอย่าง Photoshop หรือจะวาดเอาใน app ก็ได้ คุณก็จะรู้ได้ว่าตำแหน่งที่วางๆ ควรที่จะวางรูปภาพศิลปะหรือวางต้นไม้สูงๆ จะดีกว่ากัน  

4. หลีกเลี่ยงการแต่งห้องที่เป็นธีมมากเกินไป  

ธีมการจัดห้อง คือรูปแบบห้องที่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ธีมบ้านริมทะเลเป็นอีกหนึ่งธีมที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในการแต่งห้อง คุณรู้อยู่ละว่าต้องมีอะไรบ้าง อย่างเช่น พาเลทสีฟ้า ขาว สมอเรือ รูปภาพเรือ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ถูกทำให้เป็นธีมอยู่หลายคราว ซึ่งทำให้สูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละบุคคลไป ลองดูตัวอย่างห้องนี้ที่ใช้พาเลทสี รูปภาพ และวัสดุ ที่ส่งผลให้เกิดความรู้สึกของบ้านริมชายฝั่งโดยที่ไม่ต้องใส่อะไรที่เดิมๆ น่าเบื่อเกินไป

5. สร้างจุดโฟกัสสายตา (focal point)

เหมือนในละครที่จะต้องมีนักแสดงสมทบที่เข้ามาสนับสนุนนักแสดงหลัก ในการออกแบบก็เช่นกัน คุณต้องเลือกตัวละครเด่นในห้องของคุณและทำให้สิ่งนั้นเป็นจุดโฟกัวของสายตาในห้อง และให้เฟอร์นิเจอร์อื่นเด่นเป็นอันดับสอง รองลงมา อย่าพยายามทำให้เฟอร์นอเจอร์ทุกชิ้นโดดเด่นไปหมด มันทำให้เกิดการรบกวนทางสายตาขึ้น

จุดโฟกัสของคุณอาจจะเป็น ไม้ในห้องครัว หรือภาพวาดศิลปะในห้องนั่งเล่น หรือพนักพิงที่หัวเตียงในห้องนอนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรเลือกบางอย่างที่จะดึงความสนใจได้ ในรูปตัวอย่างด้านบนคุณจะเห็นสิ่งที่เด่นที่สุด นั่นคือที่พิงไฟ และโคมไฟที่ช่วยสนับสนุนกันและกัน อย่างดี การรวมจุดโฟกัสแบบนี้ ทำให้สายตาของคุณมองไปยังพื้นที่ตรงกลางของสิ่งนั้น และอย่าลืมคำนึงถึงเรื่องระดับสายตาอีกเช่นกัน

6. คละขนาด

อะไรที่ดูดีในร้าน อาจจะดูใหญ่เทอะทะในห้องของคุณเมื่อคุณนำกลับมาบ้าน หรืออาจจะดูเล็กเกินไปที่จะสร้างความสำคัญอะไร ดังนั้นจงคอยระวังในเรื่องของขนาดและสัดส่วนการจัดวางด้วย

กรอบกระจกพระอาทิตย์ที่เห็นในรูปนี้เติมเต็มพื้นที่ว่างของกำแพงได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ของตกแต่งด้านล่างก็ดูเป็นกลุ่มแบบพอเหมาะ ถ้าสองอย่างนี้แยกกันก็อาจจะไม่ได้สร้างความสำคัญเท่าไร และจำนวน 3 หรือ 5 เป็นจำนวนที่จัดวางได้ดีกว่าจำนวนเลขคู่

7. เพิ่มระดับของแสงสว่าง

ในฝั่งของห้องทานข้าวในครัวนี้ วางแสงไฟไว้ใต้ตู้ทำให้เห็นพื้นที่ด้านในที่ลึกเข้าไปของเคาท์เตอร์ แสงที่วางสะท้อนรูปภาพศิลปะ และแสงไฟในตู้ ทำให้เกิดระดับของแสงสว่างในแบบที่ถ้าคุณมีเพียงแสงไฟจากที่เดียว จะไม่เกิดผลลัพธ์แบบนี้แน่ๆ

มืออาชีพมักจะใช้แสงสว่างในการเพิ่มความน่าสนใจ น่าสงสัยและความหลากหลายให้กับห้องได้อย่างดี ในห้องที่แสงไฟดูเท่ากันไปเสียหมด ทำให้ไม่มีอะไรโดดเด่นสักอย่าง เลือจุดโฟกัสสักหนึ่งหรือสองที่และทำให้พื้นที่นั้นน่าสนใจขึ้นด้วยแสง เพิ่มแสงที่สว่างสลับกับแสงที่อ่อนลงมา เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในแต่ละพื้นที่ในห้อง   

8. รู้วิธีจัดวางเฟอร์นิเจอร์บนพรม  

แม้ว่าเมืองไทยจะไม่นิยมปูพรมทั้งห้อง แต่ก็ใช้พรมผืนเล็กใหญ่มาเพิ่มความหรูหราในห้องได้เหมือนกัน และก็มีวิธีที่จะจัดวางพรมเบสิคอยู่ 3 วิธีที่คุณควรรู้เบื้องต้น คือ

• เฟอร์นิเจอร์อยู๋ในพรมทั้งหมด ในกรณีที่คุณมีพรมผืนใหญ่ที่สามารถวางขาของเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในพรมได้ จะสร้างความหรูหรามากขึ้น แบบนี้พรมยิ่งใหญ่ก็ยิ่งดี แต่จำไว้ว่าคุณควรที่จะเว้นพื้นที่สัก 12-18 นิ้วเพื่อที่จะเผยผิวของพื้นที่แท้จริงทั้งสี่ด้านของพรม

• เฟอร์นิเจอร์ไม่แตะพรม ในกรณีที่คุณมีพรมผืนเล็ก การที่ขาของเฟอร์นิเจอร์ไม่แตะพรมเลยก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า แต่คุณไม่จำเป็นต้องเลือกพรมที่เล็กเกินไปนะ เพราะเดี๋ยวจะลดความสำคัญของพรมไปสักหมด พรมควรที่จะวางไว้เสมือนว่าพรมสามารถที่จะเอื้อมถึงขาของโซฟาแต่ละตัวรอบๆ ได้ วิธีนี้เหมาะเมื่อคุณต้องการสร้างระดับของรูปแบบมากกว่าจะโฟกัสที่พรม

• เฟอร์นิเจอร์อยู่บนพรมครึ่งหนึ่ง วางเพียงขาเก้าอี้สองขาแรกบนพรมเพื่อเชื่อมความเข้าชุดด้วยกัน และสร้างการกำหนดพื้นที่ ในขณธที่ให้ความรู้สึกเปิดโล่งได้ดี
  

9. จงกล้าที่จะออกแบบ

ลักษณะเฉพาะคือสิ่งที่จะทำให้พื้นที่ห้องนั้นๆ ดูดีขึ้นมาก อย่าลืมที่จะใส่ความเป็นตัวเองในห้องของคุณ ยิ่งคุณได้ลองมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งได้เรียนรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น

10. ไม่ต้องสนใจกฏเพื่อที่จะได้สนุกกับความคิดสร้างสรรค์

การที่มีคำแนะนำช่วยไกด์ก็ทำให้เรามีจุดเริ่มต้นที่ดีในการแต่งบ้าน แต่อย่างไรก็ตาม บางกฏหรือคำแนะนำก็อาจจะไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่เฉพาะบางแห่ง

ลองที่จะใส่ความเป็นตัวเองและทำให้คุณยิ้มได้และที่สำคัญสะดวกสบายกับรูปแบบชีวิตของคุณ เพราะห้องที่ออกแบบเว่อร์จนเกินไปก็อาจไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของคุณ

ข้อมูลจาก houzz.com

แปลและเรียบเรียงโดย BaanFinder.com