บทความนี้เป็น Advertorial
ความรู้เบื้องต้น :
เมื่อโลกเผชิญกับการระบาดของเชื้อไวรัสที่ยากจะหยุดยั้ง วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน สิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้นมากมายจนเข้าสู่ยุค ‘ชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal’ กล่าวคือ การที่มนุษย์เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิต จากที่ต้องเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศ หรือจากที่ต้องออกจากบ้านไปโรงเรียน มหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาหาความรู้นั้น ปัจจุบันคนเราต้องหันมาทำกิจกรรมเหล่านั้นที่ “บ้าน” ของเราแทน ส่งผลให้บ้านเป็นสถานที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวันมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหลังจากนี้ไปบ้าน หรือที่อยู่อาศัยจะมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตวิถีใหม่นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากกล่าวถึงการใช้ชีวิตในเมืองกรุงเทพมหานคร เมืองที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีการเร่งรีบมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ดังนั้นบ้านของคนเมืองต้องตอบรับการการใช้ชีวิตภายในเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จำเป็นต่อการเลือกบ้านในกรุงเทพฯ คงหนีไม่พ้นทำเล หรือ Location นั่นเอง
เลือกแหล่งอาศัยที่ถูกต้อง :
การที่จะเลือกลงหลักปักฐานในทำเลใดทำเลหนึ่ง เราจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญ ดังนี้
o ทำเลนั้นต้องเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก
o ที่ตั้งนั้นใกล้ที่ทำงาน / โรงเรียนของลูก / โรงพยาบาล / สิ่งอำนวยความสะดวกหรือไม่
o ทำเลนั้นมีโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่เพียบพร้อมต่อการใช้ชีวิตของเราหรือไม่
o หากต้องการซื้อไว้เก็งกำไร ทำเลดังกล่าวมีศักยภาพด้านผลตอบแทนการลงทุนหรือไม่
ที่มา : https://www.krungsri.com/en/research/industry/industry-outlook/Real-Estate/Housing-in-BMR/IO/io-housing-in-BMR
จากงานวิจัยของธนาคารกรุงศรี พบว่า จะมี 3 โซนใกล้ส่วนต่อขยายระบบขนส่งมวลชน และ 2 โซนใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะมีศักยภาพสำคัญระหว่างปี 2563-2565
โซนแรก : ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตั้งแต่หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยเก่าแก่ในกรุงเทพ โดยบ้านในโซนนี้มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาท
โซนที่สอง : รัชดาและลาดพร้าว ซึ่งเป็นศูนย์รวมที่อยู่อาศัย กิจกรรมทางธุรกิจ และความบันเทิง นับว่าเป็นบริเวณที่มีตัวเลือกบ้านพักอาศัยอยู่มากเป็นอันดับต้นๆ ราคาบ้านในโซนนี้มีให้เลือกตั้งแต่ 5 ล้านบาทเป็นต้นไป
โซนที่สาม :ใจกลางกรุงเทพฯ ประกอบด้วย สีลม สาทร ถนนพระราม 4 เพลินจิต ถนนวิทยุ อโศก และสุขุมวิท ซึ่งราคาของบ้านในพื้นที่เศรษฐกิจนี้เริ่มตั้งแต่ 10 ล้านบาทไปจนถึงหลัก 100 ล้านเลยทีเดียวตัวเลือกบ้านพักอาศัยในโซนนี้ก็มีเยอะมากเช่นกันไม่ว่าจะเป็น townhouse บ้านเดี่ยว หรือ บ้านแฝด
โซนที่สี่ : ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน และพื้นที่ด้านตะวันตกของกรุงเทพฯ โดยบ้านในโซนละแวกนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 4.5 ล้านบาทต่อหลัง
โซนที่ห้า : ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่บริเวณรอบนอกของใจกลางเมือง แต่มีศักยภาพจากความเชื่อมโยงของการสัญจร รวมถึงทางด่วนที่สามารถเดินทางมาใจกลางกรุงเทพฯได้อย่างสะดวก โดยบ้านที่ตั้งในโซนนี้ถูกตั้งราคาสบายกระเป๋าตั้งแต่ 2 ล้านบาทเป็นต้นไป
ประเภทบ้านพักอาศัย :
นอกจากทำเลที่ตั้งแล้ว ประเภทของบ้านก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งแต่ละประเภทนั้นมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยที่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล หรือครอบครัว
ทาวน์โฮม (Townhome) คือ อาคารอยู่อาศัยที่ผนังทั้ง 2 ด้านติดกับอาคารอยู่อาศัยหลังอื่น โดยส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ดินน้อยกว่า 35 ตารางวา
บ้านเดี่ยว (Single House) คือ อาคารอยู่อาศัยที่ไม่มีผนังส่วนใดส่วนหนึ่งติดกับบ้านหลังอื่นเลย โดยจะมีพื้นที่รอบตัวบ้าน อาจจะออกแบบให้เป็นสวนหย่อม หรือพื้นที่จอดรถได้เช่นกัน ซึ่งขนาดที่ดินของบ้านเดี่ยวนั้นมักมีพื้นที่ตั้งแต่ 50 ตารางวาขึ้นไป
บ้านแฝด (Twin House) คือ อาคารอยู่อาศัยที่มีผนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งติดกับบ้านอีกหลัง โดยผนังอีกฝั่งหนึ่งจะไม่ติดกับใคร ซึ่งหากมองเผินๆ จะดูเหมือนมีบ้าน 2 หลังอยู่ในรั้วเดียวกันนั่นเอง ขนาดที่ดินของบ้านแฝดส่วนใหญ่จะเริ่มตั้งแต่ 35-45 ตารางวาเป็นต้นไป
ชุมชนที่เหมาะกับไลฟสไตล์ :
เมื่อเลือกที่จะอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครแล้วนั้น วิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ที่เราจะได้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต ได้แก่ การเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ไปไหนมาไหนสะดวก อยากไปท่องเที่ยวย่านต่างๆ ทำได้โดยง่าย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยแหล่งงานที่ดี สถานศึกษา สถานพยาบาล และสถานบันเทิงที่แตกต่างจากการอาศัยนอกเมือง เป็นต้น นอกจากนี้เนื่องด้วย ‘New Normal’ ส่งผลให้ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่อาศัยอยู่ในบ้าน เปลี่ยนไปให้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากยิ่งขึ้น และออกมาใช้พื้นที่ละแวกบ้านมากยึ่งขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน หรือ neighborhood นั่นเอง
บทความนี้เป็น Advertorial