ปลดล็อก LTV กู้ 100%
นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ผ่อนคลายมาตรการ LTV-loan to value ชั่วคราว จากเดิมมีเกณฑ์ LTV หรือเกณฑ์ปล่อยกู้ได้ 70-95% จากราคาซื้อขายในสัญญา ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV 100% มีผลบัดนี้-31 ธันวาคม 2565 เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและพยุงการจ้างงานในเซ็กเตอร์อสังหาริมทรัพย์ 2.8 ล้านคน มีสัดส่วน 10% จีดีพี คาดว่าจะช่วยสร้างเม็ดเงินจากการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ 5 หมื่นล้านบาท และหนุนการเติบโตภาคอสังหาฯ 7% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดซื้อขาย 8 แสนล้านบาท โดยจะเห็นภาคอสังหาฯกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น จากเดิมประเมินว่าจะฟื้นตัวปี 2568
“เราผ่อนคลาย LTV โดยให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อได้ 100% จากเดิมที่เคยให้เฉลี่ย 70-90% โดยผ่อนคลายทุกราคาบ้าน และอาจไม่ต้องวางเงินดาวน์เลย แต่ขึ้นอยู่กับแบงก์พิจารณา เราต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ [ฟื้นตัวแบบกราฟรูปตัว K คือมีทั้งส่วนที่ฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดเรื่อยๆ จนกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ ขณะที่ยังมีบางส่วนที่ตกต่ำต่อไปในเวลาเดียวกัน] ในส่วน K ขาบนให้ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นช่วย K ขาล่าง โดยผ่อนคลายชั่วคราวถึงสิ้นปีหน้าสอดคล้องกับมาตรการภาครัฐที่จะทำ โดยเราจะติดตามสัญญาณเก็งกำไร ราคาบ้าน และหนี้เสียอย่างใกล้ชิด”
ttb มองกระตุ้น “บ้านแพง”
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวว่า มาตรการผ่อนปรน LTV ชั่วคราวถึงสิ้นปี 2565 ส่งสัญญาณกระตุ้นกำลังซื้อบ้านราคาสูงมากกว่า ปัจจุบันสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีลูกหนี้พักชำระหนี้ 10% จากทั้งระบบ แม้ผ่อนคลาย LTV แต่เชื่อว่าระบบแบงก์คงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ลูกค้าทุกรายคงไม่ได้ LTV ที่ 100% หมดทุกราย ยกเว้นลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ
“มาตรการผ่อนคลายรอบนี้จะช่วยคนรายได้ไม่สูงมีบ้านไหม ก็ไม่เชิง เพราะเดิมบ้านหลังแรกราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท LTV ได้ 100% อยู่แล้ว ครั้งนี้เรื่องใหม่ปรับ LTV บ้านราคาเกิน 10 ล้านบาท กับสัญญาที่ 2 ที่ 3 ขึ้นมาเป็น 100% ส่วนบ้านราคาต่ำ 10 ล้านบาทถือว่าไม่ได้ผ่อนคลายขึ้นในทางปฏิบัติ”
และปีนี้ LTV ที่ผ่อนคลายคงไม่ได้เปลี่ยนเกมตลาดอสังหาริมทรัพย์มากนัก เนื่องจากเหลือ 2 เดือนสุดท้าย ปัจจัยบวกจะส่งผลให้เห็นในปี 2565 คาดว่าช่วยให้ตลาดฟื้นตัวดีขึ้น แต่จุดโฟกัสยังเน้นที่บ้านราคาแพง และเจาะกลุ่มลูกค้าความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก
ผ่อนปรน LTV ช่วยดันตลาดต่อเติมบ้าน
ส่วนการเก็งกำไรจะกลับมาเพิ่มขึ้นหรือไม่มองว่าสถานการณ์โควิดถ้าจะกู้แบงก์มาซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อเก็งกำไรคงมีน้อย เพราะปกติเก็งกำไรจะอยู่ที่ตลาดคอนโดมิเนียม แต่การปล่อยเช่าคอนโดฯปัจจุบันมีผลตอบแทนลงทุนต่ำเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก ผู้เช่าต่างชาติลดลงมาก จึงไม่น่าจูงใจให้เก็งกำไรนัก
ทั้งช่วงที่ผ่านมาตลาดที่อยู่อาศัยเปลี่ยนจากการเปิดขายคอนโดฯ ในสัดส่วนสูงมาเปิดขายบ้านแนวราบในสัดส่วนที่มากขึ้น โดยระยะเวลาก่อสร้างคอนโดฯนาน 2-3 ปี เทียบกับบ้านแนวราบสร้างไปขายไปได้ ก่อสร้างและโอนให้จบในปีเดียวกันได้
“การผ่อนปรน LTV ครั้งนี้กระตุ้นบ้านแนวราบมากกว่า ทำเลก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมือง โดยจะเห็นว่าแบงก์ชาติออกมาตรการรวมกรณีการรีไฟแนนซ์ด้วย ดังนั้นตลาดการต่อเติมปรับปรุงบ้านจะคึกคักขึ้น ทำให้การกระจายตัวของการจ้างงาน เม็ดเงินลงทุนกระจายไปได้ทั่วถึง ซึ่ง LTV เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการเงินที่พยายามซัพพอร์ตการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีการปลดล็อกพวกกู้ต่อเติม เติมสภาพคล่องด้วย ไม่ใช่กู้ซื้อบ้านใหม่ตรง ๆ อย่างเดียว” นายนริศกล่าว
เสนอต่อเวลาลดค่าโอน-จำนอง
แม้ว่าจะผ่อนปรนมาตรการ LTV กระตุ้นผู้ซื้อเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน แต่ที่ผ่านมา ยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงมากช่วงปี 2562-2564 จากการควบคุมของแบงก์ชาติ และมาตรการพิจารณาสินเชื่อของแบงก์พาณิชย์ ดังนั้น จึงอาจไม่ได้กระตุ้นการซื้อได้ทันที โดยนายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมอาคารชุดไทยและสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
มีข้อเสนอเพิ่มเติมเป็นแพ็กเกจให้รัฐบาลพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการลดค่าโอน-จำนอง จาก 3% เหลือ 0.01% หรือค่าใช้จ่ายล้านละ 3 หมื่น เหลือล้านละ 300 บาท จะหมดอายุมาตรการปลายธันวาคม 2564 มีข้อจำกัดคือกำหนดเพดานราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท มีข้อเสนอคือ
1.ขอให้มีการขยายอายุมาตรการใช้อีก 1-2 ปี
2.ปรับสิทธิประโยชน์สำหรับโอน-จดจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาทแรก หรือ
3.ขยายเพดานขึ้นมาเป็น 5 ล้านบาท เพื่อรองรับโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2565
“หวังว่าการผ่อนคลาย LTV และลดค่าโอน-จดจำนองจะกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัยในปีหน้า ปีนี้เหลืออยู่แค่ 2 เดือนกว่าคงช่วยได้ระดับหนึ่งแต่ไม่เยอะเพราะโควิดไม่ค่อยดี แบงก์เข้มงวดสินเชื่อ”