ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล คสช. นำโดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ประกาศภารกิจรัฐบาลได้จัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว หลังจากนี้จะเป็นภารกิจในด้านการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเพื่อให้มีความแข็งแกร่งในระยะยาว ปรากฏว่าทาง 3 สมาคมเอกชนวงการอสังหาริมทรัพย์ได้นำเสนอโรดแมปให้แก่รัฐบาลเรียบร้อยแล้ว จุดเน้นยังเป็นการปฏิรูปโครงสร้างที่เกี่ยวกับการติดต่อส่วนราชการเป็นด้านหลัก

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ได้เสนอแนวทางเพื่อปฏิรูปโครงสร้างภาคธุรกิจอสังหาฯ มี 4 ประเด็น

1.ขอให้รัฐจัดทำ One-Stop Service หรือศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ในการขอใบอนุญาตพัฒนาโครงการ สภาพปัญหาเกิดจากการลงทุนโครงการจัดสรร ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม ต้องติดต่อส่วนราชการถึง 16 หน่วยงาน ทำให้ไม่สะดวกและเกิดความล่าช้า

2.ปฏิรูปการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ EIA) เนื่องจากกระบวนการขอใบอนุญาตอีไอเอที่ล่าช้า และมีการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) สูงมาก จึงขอให้รัฐบาลจัดทำคู่มือการยื่นคำขอใบอนุญาตEIA หรือ Code of Conduct โดยระบุให้ชัดเจนเลยว่า โครงการจัดสรรขนาดใหญ่ กลาง เล็ก มีเงื่อนไขและข้อปฏิบัติของอีไอเออย่างไรบ้าง เมื่อมีคู่มือแล้ว เอกชนจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง เพื่อลดปัญหาการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาอีไอเอ

สำหรับเรื่องนี้มีผลคืบหน้าเกี่ยวกับความพยายามแก้ปัญหาการพิจารณาอีไอเอล่าช้า โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) มีนโยบายกระจายอำนาจให้คณะกรรมการระดับจังหวัดสามารถพิจารณาได้เอง โดยมีเงื่อนไขเป็นโครงการมีพื้นที่ไม่เกิน 10,000 ตร.ม. เริ่มต้นทำใน 7 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี พังงา และกระบี่ รวมถึง กรุงเทพฯ

"ประเด็นอีไอเอ เอกชนส่วนใหญ่มองเห็นตรงกันว่ากระบวนการขออีไอเอกลายเป็นกระบวนการที่สร้างปัญหามากกว่าสร้างคุณค่า เรื่องนี้เรียกร้องกันมานาน ปริมาณคำขออีไอเอตอนนี้มี 300 โครงการ แต่การประชุมคณะกรรมการ คชก. พิจารณาได้เพียงครั้งละ 10 กว่าโครงการ ถ้าจะปฏิรูปการทำอีไอเอจริง ๆ จะต้องทำคู่มือปฏิบัติที่ชัดเจน เวลาเอกชนยื่นคำขอเข้ามาก็ให้เปิดดูคู่มือแล้วติ๊กเรียงข้อไปเลยว่า ข้อไหนถูกต้อง ข้อไหนไม่ผ่านหรือยังไม่ได้ทำ เพราะถ้ารู้ว่ากติกาอีไอเอมีรายละเอียดยังไง เราจะได้ปฏิบัติตามได้ถูกต้อง แต่ถ้ามีการใช้ดุลพินิจด้วย เป็นเรื่องที่บริหารจัดการลำบากมาก"

3.การปฏิรูปวงการบริษัทที่ปรึกษา ปัญหาคือมีจำนวนจำกัดและไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จะเห็นมีบางรายรับงานได้หมด ทั้งโครงการทางด่วน รถไฟฟ้า สร้างเขื่อน เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะใช้ระบบขึ้นทะเบียนใบอนุญาต เมื่อมีใบอนุญาตแล้วจึงรับงานที่ปรึกษาได้โดยไร้ขีดจำกัด ข้อเสนอคือรัฐควรเปิดกว้างในการขึ้นทะเบียนใบอนุญาต และเปิดประเภทใบอนุญาตบริษัทที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านที่อยู่อาศัยเป็นการเฉพาะ

"การมีที่ปรึกษาจำนวนจำกัดทำให้ต้องแย่งตัวกันค่าตัวก็แพงมาก เดิมค่าจ้างทำรายงานอีไอเอ 3 แสนกว่าบาท ทุกวันนี้ขึ้นเป็นเล่มละล้านกว่าบาท ต้นทุนที่แพงขึ้น ทุก ๆ อย่างจะถูกบวกไปในราคาอสังหาฯทั้งหมด ผลสุดท้ายผู้รับผลกระทบก็คือผู้บริโภค"

4.ปฏิรูปด้านผังเมือง เสนอให้ยกระดับหน่วยงานผังเมืองให้เป็นระดับกระทรวง หรือเทียบเท่ากับสภาพัฒน์ ซึ่งผังเมืองเป็นการวางแผนประเทศในอนาคต ภารกิจความรับผิดชอบต้องรวมไปถึงเป็นหน่วยงานควบคุมงบประมาณลงทุนสาธารณูปโภค ไม่ใช่ต่างคนต่างทำอย่างทุกวันนี้ รวมทั้งต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการไปถึงระดับชุมชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการออกแบบเมืองร่วมกัน

"จุดอ่อนด้านผังเมืองทุกวันนี้คือกลายเป็นงานฝาก เพราะไปสังกัดอยู่ในกรมโยธาธิการและผังเมือง ข้าราชการส่วนใหญ่เป็นวิศวกร ทำให้งานสำคัญอย่างผังเมืองกลายเป็นงานฝาก เรื่องนี้ในเชิงโครงสร้างจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยมีนโยบายที่จะเป็นฮับของอาเซียนในหลาย ๆ ด้าน แต่เรายังไม่เคยคุยในมิติการออกแบบผังเมืองเพื่อจะรองรับอนาคต" นายอธิปกล่าว

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า รัฐบาลควรจะถือโอกาสปฏิรูปกฎหมายจัดสรรที่ดินให้ทันสมัยด้วย เนื่องจากเป็นกฎหมายที่บังคับใช้มานาน

ตัวอย่าง ข้อกำหนดให้หมู่บ้านจัดสรรจะต้องระบายน้ำทิ้งในโครงการลงท่อระบายน้ำ ประเด็นคือปัจจุบันราคาที่ดินแพงมาก ทำให้ทำเลพัฒนาหมู่บ้านจัดสรรอยู่ไกลจากตัวเมือง บางพื้นที่ยังไม่มีท่อระบายน้ำ แต่มีคูคลองธรรมชาติ การระบายน้ำทิ้งซึ่งผ่านการบำบัดน้ำเสียแล้วของหมู่บ้านจัดสรรจะต้องปล่อยลงคลอง ตรงจุดนี้ก็เป็นปัญหาทางข้อกฎหมายว่าไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของกฎหมาย เป็นต้น

ข้อมูลจาก: prachachat.net