ใกล้เข้ามาทุกที สำหรับ"เออีซี-ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" ในวันที่ 1 ม.ค. 59 วันนี้เรามีบทสัมภาษณ์จาก "สุรเชษฐ กองชีพ" รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเปิดมุมมองผ่านสายตาธุรกิจโบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ ประเทศไทยจะเป็นฮับจริงหรือไม่
แนวโน้มหลังเปิดเออีซี
คิดว่านักลงทุนชาวต่างชาติจะเข้ามามากขึ้น ดังนั้นธุรกิจส่วนที่รับเป็นนายหน้าน่าจะคึกคักขึ้น เพราะมีความต้องการเช่าหรือซื้อคอนโดมิเนียม สำนักงาน ร้านค้า ที่ดิน ทำเลไม่ใช่แค่ กทม. แต่รวมถึงต่างจังหวัดอย่างเมืองท่องเที่ยว ชายทะเล ชายแดนบางจังหวัด อีกด้านคือธุรกิจที่ปรึกษา เมื่อนักลงทุนมองหาที่ดินแล้วเขาก็อาจจะขอคำปรึกษาด้วย เพื่อหาพันธมิตรร่วมทุน ศึกษาตลาด
ไทยเป็นฮับอสังหาฯ
มองระยะยาวไทยเรามีโอกาส เพราะประเทศเราใหญ่เทียบกับสิงคโปร์ซึ่งขนาดนิดเดียว และเปิดพื้นที่ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ง่ายกว่า ใช้เงินทุนไม่มากก็แข่งได้ ที่สำคัญ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเป็นการเปิดหน้าดินให้กับทำเลใหม่ ๆ เพิ่มพื้นที่เพิ่มโอกาสให้กับการลงทุน โดยเฉพาะแนวเส้นทางรถไฟฟ้ากำลังขยายออกไปผ่าน จ.ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ตอนนี้เราเห็นแค่คอนโดฯ ที่ขยายตัว แต่ถ้าวันหนึ่งที่ทุกอย่างมันพองตัว เราอาจเห็นอาคารสำนักงานไปตั้งในบริเวณนอกซีบีดี ไกลออกไปจากรัชดาภิเษก พหลโยธิน
กรณีตลาดต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต มีการเติบโตอยู่แล้วเพราะเป็นจังหวัดท่องเที่ยว แหล่งจ้างงาน ศูนย์กลางพาณิชยกรรมของแต่ละภาค จึงเติบโตต่อเนื่องด้วยตัวเอง รวมทั้งจังหวัดที่อยู่ในแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงก็จะได้รับอานิสงส์
ดังนั้นต้องมองระยะยาว 10 ปี โดยในช่วง 1-3 ปีแรกยังไม่เห็นอะไรเท่าไหร่ แต่พอผ่านไปเรื่อย ๆ จะเห็นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดอื่นที่ไม่เคยมีบทบาทก็จะมีบทบาทขึ้นมา
ประเทศคู่แข่งดึงนักลงทุน
ก็มีเวียดนาม กัมพูชา เมียนมา ซึ่งเป็นไปตามแหล่งอุตฯ แรงงานบ้านเขายังถูกอยู่ เศรษฐกิจกำลังขยายตัว และเป็นประเทศที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ ไม่เหมือนฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ซึ่งมีเกาะเยอะมาก การส่งออกทำได้ลำบาก ดังนั้นประเทศบนเมนแลนด์จึงน่าสนใจกว่า
ตอนนี้คนสนใจเมียนมากันเยอะมากเพราะโลเกชั่นเหมาะกับการส่งออกอยู่ติดทะเล เทียบกับไทยต้องอ้อมปลายแหลม เวียดนามก็ต้องส่งฝั่งตะวันออกหรือถ้าจะมาฝั่งตะวันตกต้องอ้อมเหมือนกัน เมียนมาจึงได้เปรียบตรงนี้
อุปสรรคของบ้านเรา
มองในมุมของวงการโบรกเกอร์อสังหาฯ ถ้าวัดแรงกิ้ง (จัดอันดับ) บนเวทีเออีซีอันดับ 1 ยังเป็นสิงคโปร์ ตามด้วยมาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ส่วนกลุ่ม CLMV คือ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม อาจจะถือว่ายังมีปัญหาเพราะสิ่งที่วัดอันดับกันคือความเป็นมาตรฐานสากลของโบรกเกอร์ สะท้อนเป็น ความยากง่ายในการติดต่อ ทั้งภาษา เอกสารที่ใช้ ความเข้าใจร่วมกัน
ในขณะที่เรื่องสำคัญคือกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาเช่า ไทยได้แค่ 30 ปี ทำให้เสียเปรียบเพราะประเทศเพื่อนบ้านให้ 50-450 ปี มีข้อเสนอการเช่าควรจะได้สิทธิอย่างน้อย 50 ปี เรื่องการเมืองก็ต้องยอมรับว่าเป็นจุดอ่อน ต่างชาติกลัวว่าเขาตัดสินใจลงทุนไปแล้วเวลาเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนนโยบายใหม่ เขาก็เสียหาย
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกเรื่องที่สังเกตเห็นและน่าจะเสียเปรียบการแข่งขัน คือการติดต่อกับลูกค้าต่างชาติที่จะต้องมีการทำธุรกรรมกับส่วนราชการในประเทศไทย คำถามสำคัญของลูกค้าก็คือ เขาจะดูเรื่องการคอร์รัปชั่น ต้องจ่ายใต้โต๊ะไหม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สิงคโปร์ได้เปรียบและเข้าใจว่าทำให้ธุรกิจโบรกเกอร์ทำงานง่าย และเป็นแชมป์ในอาเซียนได้เพราะเขาไม่มีปัญหานี้ ซึ่งเรื่องแบบนี้โบรกเกอร์ไทยแก้ไขเองไม่ได้ (ยิ้ม)
ข้อมูลจาก: prachachat.net