คนส่วนใหญ่ เวลาที่เลือกเปลี่ยนหลอดไฟในบ้าน มักจะไม่ได้ดูอะไรมาก นอกจาก ค่าวัตต์ (ตัวย่อ W) ตัวใหญ่ๆ บนกล่องของหลอดไฟ และโทนสี วันนี้ บ้านไฟน์เดอร์ พาคุณมาเจาะลึกในการเลือกซื้อหลอดไฟแบบมือโปร เพื่อให้ได้หลอดไฟที่เหมาะสม ประหยัดพลังงาน มีอะไรที่เราควรรู้เบื้องต้นเมื่อเลือกซื้อหลอดไฟ มาดูกันเลย
ค่าความสว่าง - ลูเมน (Lumens)
ความสว่างของแสงไฟ กำหนดด้วยเรทของลูเมน ยิ่งค่าลูเมนเยอะ หมายความว่าความสว่างของหลอดไฟยิ่งเยอะ และขอเตือนว่า "ความสว่างมากเกินไป" มีอยู่จริง แต่สว่างมากไปหรือน้อยไป ก็เป็นปัญหาขึ้นอยู่กับบุคคล บางคนชอบอยู่ห้องสว่างมากๆ บางคนชอบอยู่ห้องที่ไม่สว่างจนเกินไป
การเลือกว่าห้องๆ นึงควรสว่างเท่าไร ยังขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง สีของผนังห้อง ความสูงของเพดาน และวัตถุประสงค์การใช้งาน อื่นๆ เช่น ห้องนั่งดูทีวีขนาด 9 ตารางเมตร (3x3 เมตร) อาจต้องการความสว่างประมาณ 1000-2000 ลูเมน ในขณะที่ห้องทานข้าว 9 ตารางเมตร ต้องการประมาณ 3,000-4,000 ลูเมน เพราะคุณอยากเห็นว่ากำลังกินอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ใช่สว่างมากเพื่อมานั่งตรวจสอบอาหารที่กินขนาดนั้น
ในอดีต ถ้าเราอยากได้หลอดไฟสว่างๆ เราจะคิดถึง วัตต์ของหลอดไฟ เช่น หลอดไฟ 75 วัตต์ ไม่ว่าจะแบรนด์อะไรก็ให้ความสว่างเท่ากัน แต่ในปัจจุบัน หลอดไฟถูกทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น นั่นคือ ใช้กำลังวัตต์น้อยลงแต่ผลิตความสว่าง (ลูเมน) ได้เท่าเดิม ทำให้ตอนนี้ เมื่อนึกถึงความสว่างของหลอดไฟ เราต้องคิดถึงค่าลูเมน ไม่ใช่ค่าวัตต์
Credit: Alcon Lighting
ค่ากำลังไฟ - วัตต์ (Watts)
แล้วค่าวัตต์คืออะไร ค่าวัตต์คือ ค่าพลังงานที่หลอดไฟใช้เพื่อผลิตความสว่างออกมา ซึ่งในอดีต เราใช้หลอดไฟแบบอินแคนเดสเซนต์ (incandescent bulbs) หรือ หลอดไส้ ที่ทำงานโดยกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไส้หลอด เกิดความร้อนและปล่อยแสงออกมา (สังเกตุได้จากการเอามือไปอังที่หลอดไฟจะพบว่าหลอดไฟมีความร้อนสูง) และบังเอิญว่ายิ่งใช้พลังงานมากเท่าไร ก็มีความสว่างที่มากเท่านั้น
แต่ในปัจจุบัน เราสามารถผลิตหลอดไฟที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น เช่น หลอดไฟ LED ทำให้ใช้พลังงานวัตต์น้อยลง แต่ผลิตความสว่างได้มากขึ้น
แต่ ค่าวัตต์ ก็ยังมีความสำคัญในการเลือกซื้อหลอดไฟอยู่ เมื่อเวลาที่เราเปรียบเทียบหลอดไฟที่มีค่าความสว่าง (ลูเทน) เท่ากัน แต่หลอดไฟที่วัตต์น้อยกว่า ย่อมหมายถึง การใช้ไฟที่น้อยกว่าในการผลิตความสว่างที่เท่ากัน และประสิทธิภาพของพลังงานของหลอดไฟก็วัดจาก ลูเมนต่อวัตต์ (lm/W) ซึ่งยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี
โทนสี - อุณหภูมิสี (Color temperature)
Credit : lightingdesignstudio.co.uk
นอกจากเรื่องของความสว่างแล้ว คุณต้องคำนึงถึงสีของหลอดไฟด้วย และสีของหลอดไฟในบ้าน ก็ไม่ได้แบ่งแค่สีขาวและเหลืองเท่านั้น แต่มีการแบ่งโดยใช้หน่วยเคลวิน (Kelvin) ระหว่าง 2700-6500 เคลวินในการแบ่งสีต่างๆ เช่น soft white, daylight เป็นต้น
มาดูอุณหภูมิสี แต่ละแบบกัน
1. สีขาวอ่อน (Soft White) มีอุณหภูมิสีอยู่ระหว่าง 2,700 - 3,000 เคลวิน มีลักษณะสีโทนอุ่นเหลือง หลอดไฟสีนี้เหมาะกับการใช้งานในห้องนั่งเล่น หรือห้องนอน
2. สีขาวอุ่น (Warm White) มีอุณหภูมิสีอยู่ระหว่าง 3,000 - 4,000 เคลวิน และลักษณะของสีโทนเหลืองอ่อนๆ เกือบขาว ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในห้องครัว หรือ ห้องน้ำ
3. สีขาว (Bright White) มีอุณหภูมิสีอยู่ระหว่าง 4,000 - 5,000 เคลวิน เป็นสีขาวที่ออกไปโทนฟ้า หลอดไฟโทนสีขาวนี้ จะให้ความรู้สึกผ่อนคลายน้อยลงมาหน่อย และทำให้รู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้น จึงเหมาะกับการใช้งานใน ออฟฟิศ ที่ทำงาน หรือห้องทำงานในบ้าน และห้องครัว
4. สีขาว (Daylight) มีอุณหภูมิสีอยู่ระหว่าง 5,000 - 6,500 เคลวิน สีขาวโทนสว่างไปทางฟ้านี้ เป็นโทนสีขาวที่ทำให้เห็นสีต่างๆ ได้ชัดเจน ไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เป็นโทนสีที่เหมาะสำหรับการทำงาน การอ่านหนังสือ หรือ แต่งหน้า
สำหรับการเลือกใช้อุณหภูมิสีไหนดี ก็ให้คิดถึงการใช้งานของห้องต่างๆ ในบ้าน อย่างถ้าคุณแต่งหน้าในห้องที่ใช้ไฟ soft white (โทนแสงเหลือง) พอออกมาเจอกับแดดธรรมชาติก็อาจจะเพี้ยนไปได้ หรือ
เลือกใช้หลอดไฟอัจฉริยะ (Smart Bulb)
ปัจจุบัน เทคโนโลยีก็ทำให้ใน 1 หลอดไฟ สามารถปรับอุณหภูมิสี ได้หลากหลาย ตามการใช้งาน นั่นคือ แทนที่คุณจะหาซื้อเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ทั้งหมด คุณสามารถเลือกหาโคมไฟและเลือกใช้หลอดไฟอัจฉริยะไว้ข้างเตียง เมื่อต้องการก็ปรับแสงไฟโทนขาวสำหรับอ่านหนังสือ และเมื่อต้องการผ่อนคลาย ก็ปรับเป็นแสงโทนเหลืองได้ในหลอดไฟเดียวได้เลย สะดวกสบายสุดๆ