ตึกแถว เป็นสถาปัตยกรรมที่มีมาอย่างยาวนาน วันนี้ บ้านไฟน์เดอร์พาชม ตึกแถว ในถนน Joo Chiat ย่านเก่าแก่ของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตึกแถวในย่านนี้ แม้ว่าจะเป็นบ้านของประชาชนทั่วไป แต่รัฐบาลสิงคโปร์ก็ประกาศว่า เจ้าของบ้านในย่านนี้จำเป็นต้องรักษาสถาปัตยกรรมดั้งเดิมนี้ไว้ด้วย
ตึกแถวในย่านนี้ สร้างขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ได้รับอิทธิพล ด้านสถาปัตยกรรมจากทั้ง มาเล จีน และ ยุโรป และก็เป็นย่านที่คู่สามี ภรรยา ทนายความ ในช่วงวัย 40 ปีคู้นี้ ตกลงใจที่จะซื้ออยู่อาศัย
ตึกแถว 2 ชั้นนี้ มีพื้นที่ขนาด 197 ตารางเมตร ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และได้รับการออกแบบ ปรับปรุงโดยบริษัทสถาปนิก Erza Architects ที่วาดเขียนแบบและลงสีน้ำไว้ให้กับเจ้าของ ก่อนเริ่มโปรเจ็กต์
และเจ้าของบ้านก็นำมาใส่กรอบ แขวนไว้บริเวณทางเข้าบ้าน ในเวลาที่มีแขกมาเยี่ยม ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราวของตัวบ้านได้อย่างน่าสนใจมากๆ
โดยการรีโนเวท ก่อสร้างในย่านนี้จำเป็นต้องดำเนินการตาม กฏหมายการก่อสร้างพื้นที่ในย่านประวัติศาสตร์ อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการรักษาสถาปัตยกรรมด้านหน้าให้เหมือนเดิมที่สุด และอาจจะต้องฟื้นฟูทำใหม่ให้เหมือนเดิม หากจำเป็น ซึ่งสำหรับตึกแถวนี้ ความสำคัญคือด้านหน้าบ้านที่ต้องรักษาเอาไว้ให้เหมือนเดิม
สำหรับการก่อสร้างบ้านนี้ ช่วงแรกเริ่ม จำเป็นต้องทุบผนังกั้นออกไปค่อนข้างเยอะ เพราะเจ้าของบ้านคนก่อน กั้นไว้เพื่อปล่อยเช่าห้องต่างๆ และแผนคือปรับปรุงในส่วนของด้านหลัง และห้องใต้หลังคา ให้อยู่ในโครงเสริมเดิม ซึ่งต้องอาศัยการใช้แรงเสริมใหม่ๆ ที่ดีขึ้น
สำหรับบ้าน หลังนี้ สถาปนิกต้องการทำให้บ้านเป็นเหมือนผืนภาพขนาดใหญ่สำหรับงานศิลปะ เพื่อที่จะโชว์ศิลปะ ของเก่าแก่จากทั่วโลก ที่เป็นของสะสมของเจ้าของบ้าน และการทาสีผนังเป็นสีขาวก็ดูตอบโจทย์ที่สุด
เมื่อแขกเข้ามาภายในบ้าน และผ่านทางเข้าด้านหน้า ที่มีภาพวาดของโครงสร้างบ้าน ก็จะพบกับห้องรับแขก ซึ่งมีภาพศิลปะ และของสะสมตั้งโชว์อยู่ โดยผนังเป็นการโชว์อิฐเดิมจากสมัยก่อนสงครามโลก ที่ต้องแซะปูนเดิมออกเพื่อเผยอิฐเหล่านี้
และเห็นคานไม้ดั้งเดิมของตัวตึก ซึ่งบางส่วนก็คดเบี้ยวบาง ทำให้ต้องนำออก ปรับปรุง และใส่กลับเข้าไปพร้อมกับการเสริมเหล็กด้านใน
บันไดนำไปสู่ชั้น 2 ของบ้าน ที่มีห้องนอนหลัก และห้องนั่งเล่น
ประตูห้องนอนชั้น 2 เป็นประตูหมุนออกทีสามารถเปิดเพื่อเชื่อมต่อไปยังห้องนั่งเล่น และด้านบนห้องนอนก็เป็นห้องใต้หลังคาที่เพิ่มเข้าไปใหม่ สำหรับเจ้าของบ้านเพื่อที่จะใช้เป็นออฟฟิศนั่นเอง
ซึ่งในห้องนั่งเล่นนี้ เจ้าของก็ยังสะสมเฟอร์นิเจอร์วินเทจอีกด้วย ดังนั้น งานของสถาปนิก จึงเป็นการมองหาความลงตัวที่จะดึงเอาของใช้วินเทจเหล่านี้ มาวางลงในงานออกแบบ
สำหรับห้องนอน เจ้าของบ้านก็มี พัดลมวินเทจของเจ้าของบ้าน ผสมผสานกับตู้เสื้อผ้าโพลีฟอร์ม
และห้องน้ำหลักก็อยู่ถัดไปจาก ห้องนั่งเล่นบนชั้น 2 ซึ่งสามารถขึ้น-ลง บันไดวนด้านหลังบ้านได้อีกทาง
ตัวบันไดวนนี้เป็นการทำขึ้นมาใหม่ ในรูปแบบดั้งเดิม สถาปนิกของบ้านหลังนี้ บอกว่า เขาอยากได้บันไดวนเก่าดั้งเดิม โดยเขาบินไปยัง ปีนัง ประเทศมาเลเซีย เพื่อตามหาแหล่งสำหรับบันไดวนดัด สร้างด้วยเหล็กบริสุทธิ์ (wrought iron) ซึ่งก็พบเข้าอยู่อันหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ติดต่อกับเจ้าของบ้านเพื่อตกลงไม่ทัน ทำให้บันไดนั้นถูกหลอมขายไปเสียแล้ว แต่เขาก็สามารถหาช่างเหล็กในสิงคโปร์เพื่อสร้างบันไดวนเหล็กนี้ขึ้นมาใหม่สำหรับตึกแถวนี้ได้ในที่สุด
และบันไดวนนี้ก็จะพามายัง ห้องนอนรับแขกอีกห้องหนึ่งด้านหลังบ้าน ซึ่งอยู่ด้านบนของห้องรับประทานอาหารด้านล่าง
พร้อมห้องน้ำด้านหลังด้วย
นอกจากนั้น บันไดวนยังขึ้นมาสู่พื้นที่ดาดฟ้า ซึ่งถูกออกแบบไว้ โดยใช้กรงเหล็กดัดเป็นทรงเกล็ดปลาเป็นรั้วล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแพทเทิร์นของหลังคาตึกแถวดั้งเดิม
ห้องนอนรับแขกนี้จะมองเห็นสวนกลางบ้าน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเด่นของบ้านยุคนี้ ที่เปิดโล่งกลางบ้าน ที่เจ้าของบ้านคนเก่านั้นปิดไว้ แต่เมื่อต่อเดิมด้านหลังก็ทำให้ ตึกแถวนี้นำเอาสถาปัตยกรรมนี้กลับมาอีกครั้ง
ในแบบเดิม ตึกแถวนี้ มีที่พักของคนงาน พร้อมสวนอยู่ด้านหลัง ซึ่งก็ได้ปรับมาเป็นห้องครัวแนวยาว และสวนกลางบ้านที่มีห้องนั่งเล่นอยู่ด้านหนึ่ง และห้องรับประทานอาหารอีกด้วนหนึ่ง และห้องครัวก็เอ็นจอยวิวสวนได้เต็มๆ
เจ้าของบ้านชื่นชอบในการทำอาหาร และพูดคุยกับแขก ซึ่งการที่มีห้องครัวอยู่ตรงกลางระหว่างห้องรับแขกและห้องทานข้าว ก็ทำให้เจ้าของบ้านเข้าถึงและพูดคุยกับแขกระหว่างทำอาหารได้ง่ายขึ้น
วิวจากห้องกินข้าว พร้อมเพดานสูงก็ทำให้รู้สึกโปร่งสบาย เหมือนอยู่ข้างนอก แม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ตาม รวมทั้งประตูกระจกหมุนเปิดได้ก็ช่วยทำให้ลมผ่านได้ดีเมื่อเปิดประตู และที่สำคัญ สามารถรับแสงธรรมชาติทำให้บ้านดูกว้าง สบายมากขึ้น แม้ในตอนที่ปิดประตู
และในส่วนที่เหลือของบ้านก็ จัดวางงานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์ร่วมสมัยของเจ้าของบ้านไว้ตามที่ต่างๆ ได้อย่างดี สุดท้ายแล้วการสร้างบ้านในย่านประวัติศาสตร์ ในสามารถคงเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมของยุคสมัยนั้น ปรับเข้ากันกับการดำรงชีวิตของยุคสมัยนี้ ก็สามารถทำได้อย่างลงตัว
สถาปนิกโปรเจ็กต์นี้ คำนึงถึงกฎอยู่ 3 เรื่องคือ 1. เก็บรักษาให้ได้มากที่สุด 2. เก็บกลับมาใช้อย่างรู้คุณค่า และ 3. เก็บซ่อมแซมงานอย่างละเอียด ซึ่งพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่า ทำงานนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับตึกแถวเมืองไทย ก็สามารถเก็บเอาไอเดียเหล่านี้ มาลองประยุกต์ใช้ได้เหมือนกันนะ