โปรเจ็กต์ "รถไฟไทย-จีน" เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด 873 กม. แม้จะอยู่ช่วงเจรจามูลค่าโครงการและรูปแบบการลงทุนที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ เพื่อนำไปสู่การตอกเข็มโครงการ แต่มีข้อมูลเบื้องต้นจากฝ่ายจีนออกมาระบุระบบรถไฟที่จะนำมาใช้ในโครงการ
ในส่วนของรถโดยสารจะเป็นรถไฟความเร็วสูง รุ่น CRH 2G ซึ่งสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กม./ชม. แต่ละขบวนจะมีตู้โดยสาร 8 ตู้ รองรับผู้โดยสารได้ขบวนละ 613 คน ภายในตัวรถ ประกอบด้วย ที่นั่งชั้น 1 ที่นั่งชั้น 2 รถเสบียง พื้นที่สำหรับรถเข็นผู้พิการ และพื้นที่เก็บกระเป๋าเดินทาง
ขณะที่รถไฟสำหรับขนสินค้า จะใช้หัวรถจักรไฟฟ้า รุ่น HXD 3B และ HXD 3C มีกำลังการขับเคลื่อนสูงสุด 9,600 กิโลวัตต์ ใช้ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. มาลากจูงขบวนสินค้า
สำหรับการให้บริการ เส้นทาง "กรุงเทพฯ-อยุธยา" คาดว่าในปีแรกจะสามารถให้บริการวันละ 44 ขบวนไป-กลับ และวันละ 126 ขบวนไป-กลับ ในปี 2573 จะสามารถให้บริการวันละ 200 ขบวนไป-กลับในปี 2583
"เส้นทางฉะเชิงเทรา-พัทยา" ปีแรกจะสามารถให้บริการวันละ 84 ขบวนไป-กลับ และวันละ 120 ขบวนไป-กลับในปี 2573 และวันละ 178 ขบวนไป-กลับในปี 2583 ส่วนเส้นทาง "ขอนแก่น-หนองคาย" คาดว่าจะมีปริมาณขนส่งสินค้ามากที่สุดในปี 2573 อยู่ที่ปริมาณ 2.62 ล้านตัน/เที่ยว ในปี 2583 มีปริมาณ 3.71 ล้านตัน/เที่ยว
ด้านขบวนรถไฟวิ่งจาก "กรุงเทพฯ-หนองคาย" หากใช้ความเร็ว 180 กม./ชม. จะใช้เวลาเดินรถ 229.5 นาที หรือประมาณ 3 ชั่วโมงเศษ
นายหวัง หมิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การพัฒนาเทคโนโลยีของจีนมีทั้งการก่อสร้าง รถไฟความเร็วสูง ควบคุมขบวนรถ จ่ายกระแสไฟฟ้า บริหารจัดการเดินรถ การป้องกันและควบคุมความเสี่ยง และการรวมระบบ
ส่วนการบริหารจัดการเดินรถและซ่อมบำรุงขบวนรถ ได้บริหารขบวนรถขนส่งผู้โดยสารกว่า 9,000 ขบวน/วัน และขบวนรถขนส่งสินค้า 20,000 ขบวน/วัน ในจำนวนนี้เป็นการบริหารขบวนรถไฟฟ้า EMU มากกว่า 3,000 ขบวน/วัน ซึ่งแผนบริหารนี้จะนำมาใช้ที่ศูนย์การควบคุมและบริหารการเดินรถกลาง (OCC) ที่สถานีเชียงรากน้อยของรถไฟไทย-จีน
ข้อมูลจาก: prachachat.net