ในที่สุดหลักเกณฑ์การพัฒนาโครงการ "บ้านประชารัฐ" ก็คลอด ออกมา ตามนโยบายของรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยจำนวน 2.7 ล้านครัวเรือน โดยกระทรวงการคลังมีแผนที่จะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งบ้านที่จะเข้าร่วมโครงการมีระดับราคา 0.7-1.5 ล้านบาท มูลค่ารวมไม่เกิน 7 หมื่นล้านบาท ส่วนผู้ซื้อกำหนดเพดานรายได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทต่อเดือนต่อครอบครัว และต้องเป็นบ้านหลังแรก
"บ้านประชารัฐ" ไม่เพียงเป็นความหวังของผู้มีรายได้น้อยจะได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่ยังเป็นอีกความหวังจะสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต่อจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ใกล้จะสิ้นสุดลง ในวันที่ 28 เม.ย.นี้
หลักเกณฑ์โครงการนับว่าเปิดกว้างมาก ครอบคลุมทุกประเภทอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่อยู่อาศัยใหม่ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวมไปถึงซ่อมแซม หรือต่อเติมที่อยู่อาศัย ทั้งสร้างบนที่ดินของตนเอง เอกชน หรือที่ดินของรัฐ โดยผู้ประกอบการจะเป็นผู้รับภาระค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมทั้งค่าใช้จ่าย ส่วนกลางปีแรก และให้ส่วนลดพิเศษกับ ผู้ซื้อเพิ่มไม่น้อยกว่า 2% โดยธนาคารปล่อยกู้ดอกเบี้ยผ่อนปรน ระยะกู้สูงสุด 30 ปี
สินเชื่อที่ผู้ประกอบการกู้ 3 หมื่นล้านบาท จะปล่อยกู้ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย แห่งละ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนสินเชื่อให้กู้ซื้อบ้านอีก 4 หมื่นล้านบาท ธอส.และออมสิน จะเป็นผู้ให้กู้แห่งละ 2 หมื่นล้านบาท ด้วยดอกเบี้ยในอัตราต่ำพิเศษซึ่งจะทำให้ผู้กู้ได้วงเงินกู้สูงขึ้น
ทั้งนี้ บ้านระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15% ของตลาดรวมมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท โดยเอกชนรายใหญ่พัฒนาโครงการบ้านกลุ่มระดับราคาดังกล่าว มี 2 รายหลัก คือ บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) ที่มีสินค้าทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ส่วนอีกราย บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) นับเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมราคาถูก
อธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจ บ้านจัดสรร กล่าวว่า เงื่อนไขที่เปิดกว้างจะจูงใจให้ผู้ประกอบการสนใจเข้ามาพัฒนาโครงการ คาดว่าจะสร้างเพิ่มขึ้นใหม่ประมาณ 3 หมื่นยูนิต และยังจะช่วยระบายสต็อกบ้านได้อย่างมาก ปัจจุบันมีจำนวนสินค้าพร้อมอยู่ ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท กว่า 3 หมื่นยูนิต
แต่ทั้งนี้ ตลาดระดับล่างจะมียอดเติบโตมากขึ้น รัฐบาลต้องปลดล็อคเครดิต แก้ปัญหาคุณสมบัติให้กับผู้กู้ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีอัตราการปฎิเสธสินเชื่อมากที่สุด แต่ก็เป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยสูงเช่นกัน
"เดิมมีความกังวลว่าลูกค้าในกลุ่มนี้มีปัญหาในการขอกู้ เครดิตไม่ค่อยดี แต่เมื่อ ธอส.และออมสินมาช่วยปล่อยกู้และผ่อนเกณฑ์ทำให้โครงการมีความเป็นไปได้มากขึ้น ถ้าปัญหาในการกู้ลดลง ผู้ประกอบการจะ ดีขึ้น เพราะจะให้สิทธิ์บ้านในโครงการเก่าที่ยังค้างสต็อก ก็สามารถขายได้ หรือขายของใหม่ที่ยังไม่สร้างก็ได้"
ประเสริฐ แด่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่าปัจจุบัน พฤกษา มีสต็อกบ้านและคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท และจะสร้างเพิ่มอีก 5,000 ล้านบาท
"โครงการบ้านประชารัฐมีส่วนแบ่งในตลาดไม่มากประมาณ 15% โดยตลาดใหญ่สุดคือระดับราคา 2-4 ล้านบาท โครงการนี้จึงไม่ได้ช่วยผลักดันให้ตลาดในปีนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่จะช่วยให้ตลาดเติบโตขึ้นได้ เพราะช่วยระบายสต็อก และเพิ่มยอดขายสินค้าใหม่ ซึ่งจะสนับสนุนให้อสังหาฯในปีนี้โตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ 5%"
โอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท มีสัดส่วนไม่ถึง 40% ของตลาดรวมคอนโดมิเนียม ปี 2558 ที่มีมูลค่าประมาณ 2.4 แสนล้านบาท ส่วนตลาดใหญ่เป็นกลุ่มราคา 2-3 ล้านบาท สัดส่วน 50-60%
ทั้งนี้ บริษัทได้คัดเลือกคอนโด 3,756 ยูนิต จาก 13 โครงการ เข้าร่วม แบ่งเป็นราคาไม่เกิน 7 แสนบาท 3,133 ยูนิต และ เกิน 7 แสนบาท 623 ยูนิต โดยจะจัดขายราคาพิเศษ คิดเป็นมูลค่าส่วนลด 42 ล้านบาท
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ (14 มี.ค.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เชิญผู้ประกอบการ อสังหาฯ 8 ราย เข้ารับฟังเงื่อนไขโครงการ ทั้งนี้ในส่วนเสนาฯ สนใจพัฒนาโครงการบ้านประชารัฐ โดยมีทั้งสร้างขึ้นมาใหม่ และสต็อกพร้อมอยู่ประมาณ 1,000 ยูนิต
วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต ประธาน เจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะลงทุนพัฒนาโครงการบ้านประชารัฐ ตั้งแต่จัดหาที่ดิน ก่อสร้าง และขายโครงการ แต่ยังไม่สนใจพัฒนาบนที่ดินของรัฐ ขณะนี้อยู่ระหว่างทำรายละเอียด และซื้อที่ดิน โดยจะเป็นที่ดินขนาดไม่เกิน 100 ไร่ ต้นทุนไม่เกินไร่ละ 2 ล้านบาท ในทำเลชานเมือง
รูปแบบโครงการจะเป็นทาวน์เฮาส์ เนื้อที่ 16-18 ตร.ว. ก่อสร้างด้วยระบบพรีแฟบ สร้างเสร็จภายใน 4 เดือน
วรยุทธ กิตติอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด หรืออาร์เค กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมเปิดตัวโครงการบ้านผู้มีรายได้น้อย บนที่มีอยู่แล้ว เนื้อที่ 41 ไร่ ตั้งอยู่ถนนสังฆสันติสุข พัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น เนื้อที่16 ตร.ว. จำนวน 250 ยูนิต ราคายูนิตละ 9 แสนบาท ตามแผนคาดว่าจะเปิดขายภายในเดือน พ.ค.นี้
โดย กัญสุชญา สุวรรณคร
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ